เจ าะรูกะหล่ำปลี ใส่น้ำร้อนลงไป แล้วปล่อยทิ้งไว้
เตรียมกะหล่ำปลี
ก่อนจะนำกะหล่ำปลีไปทำอาหาร หรือไปรับประทาน ควรล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อยก่อน วิธีการที่ง่ายและได้ผลดีที่สุดคือ การใช้เบกกิ้งโซดาผสมกับน้ำ แล้วนำกะหล่ำปลีลงไปแช่ไว้สัก 10 นาที แล้วค่อยล้างน้ำสะอาดออกอีกครั้ง วิธีการนี้จะช่วยลด ส า ร พิ ษ ต ก ค้ า ง ในกะหล่ำปลีได้ถึง 70% หากใครไ ม่มีเบกกิ้งโซดา อาจจะใช้เป็นน้ำปูนใสก็ได้ค่ะ
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1 กะหล่ำปลี 1 หัว
2 หม้อต้มขนาดใหญ่
ขั้นตอนในการทำ
1 เมื่อล้างทำความสะอาดกะหล่ำปลีไว้เรียบร้อยแล้ว ให้ใช้ มี ด เจ าะและค ว้านเอาตรงกลางของกะหล่ำปลีออก (ตัวอย่างตามภาพ)
2 แล้วนำกะหล่ำปลีใส่ลงไปในหม้อต้ม (ให้หม้อมีขนาดใหญ่พอที่จะใส่ลงไปได้ทั้งหมด) แล้วใช้น้ำร้อน ที่ เ ดื อ ด จัดเทลงไปตรงรูตรงกลางของกะหล่ำปลี
3 แล้วค่อยปิดฝาหม้อ ทิ้งไว้ 30 นาที หรือถ้าใครไ ม่รีบก็ทิ้งไว้สัก 1 ชั่วโมงก็ได้ค่ะ
4 เมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว ก็ให้เทน้ำออกจากหม้อต้ม (ระวั งด้วยนะคะตอนเท น้ำยังร้ อนอยู่) สิ่งที่ได้คือ คุณจะเห็นกะหล่ำปลีที่ต้มไว้ บานออกเหมือนดอกไม้ ให้ทิ้งไว้ให็เย็นสักหน่อย ก็นำไปรับประทานได้เลย
ข้อแ นะนำ
หม้อที่นำมาใส่กะหล่ำปลี ควรจะมีขนาดใหญ่กว่ากะหล่ำพอสมควร เพื่อให้มีที่ว่าง เวลากะหล่ำบานออก จะได้สวยงาม และน้ำร้อน ต้องเป็นน้ำที่ร้อนจัดจริงๆ ถึงจะได้ผลดีค่ะ
ประโยชน์ของกะหล่ำปลี
ช่วยลดค อ เ ล ส เ ต อร อ ล
ไฟเบอร์ในกะหล่ำปลีมีส่วนสำคัญที่ทำให้ผักชนิดนี้กลายเป็นอาหารที่ช่วยลดค อ เ ล ส เ ต อร อลได้ ไ ม่ว่าจะเป็นในรูปแบบผักสดหรือการนึ่ง และการรับประทานกะหล่ำปลีจะทำให้ไฟเบอร์ในผักเข้าไปทำงานในระบบย่ อยอาหารและทำให้ร่างกายขับถ่ายได้ดีขึ้นอีกด้วย เมื่อระบบการขับถ่ายดี ร่างกายก็จะขจั ดคอเล สเต อรอ ลออกมาได้ดีขึ้นอีกด้วย
ลดความเสี่ ยงโร คมะเร็ ง
มีการศึกษาหลายชิ้นพบว่า ในกะหล่ำปลีไ ม่ว่าจะเป็นกะหล่ำปลีสีเขียวหรือสีม่วงก็จะมีกลูโคซิโนเลท (glucosinolates) ซึ่งมีฤท ธิ์เป็นสา รต้ านมะเร็ งที่เกิดจากส ารเ ค มีต่าง ๆ แต่ก็ควรจะเลือกรับประทานกะหล่ำปลีที่ปลอดสา รพิ ษเพื่อให้มั่นใ จแน่ว่า จะไ ม่รับเอ าส ารเ ค มีที่ต กค้ างจากการปลูกเข้าสู่ร่างกาย
กะหล่ำปลี ลดความอ้ วนได้
ปริมาณแคลอรีที่ไ ม่สูงมากจนเกินไปของกะหล่ำปลีและไฟเบอร์ที่สูงทำให้กะหล่ำปลีเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับการลดน้ำหนัก เพราะเมื่อเรารับประทานเข้าไปแล้วไฟเบอร์จะทำให้อยู่ท้องและอิ่มได้นานขึ้นค่ะ
เป็นอาหารบำรุงสม อง
วิตามินเค และส ารแอนโทไซยานินในกะหล่ำปลี โดยเฉพาะในกะหล่ำปลีม่วง ที่มีส ารทั้ง 2 ชนิดมากเป็นพิเศ ษ สามารถช่วยสร้างเสริมส มองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสมาธิ และสภาพจิตใ จได้ เพราะสา รอาหารทั้ง 2 ชนิดจะเข้าไปป้อ งกันการถูกทำล ายของระบบประสา ท และบำรุงสมอ งไ ม่ให้เกิดโ รคอั ลไ ซเม อร์ หรือสม องเสื่ อมด้วย
บำรุงผิวพรรณ
ซัลเฟอร์เป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อเล็บ ผม และผิวหนัง โดยสามารถช่วยให้ผิวไ ม่มั นและลดการเกิดสิ ว ซึ่งในกะหล่ำปลีก็มีส ารชนิดนี้อยู่ไ ม่น้อยเลย จะนำมารับประทานหรือนำมามาสก์หน้าก็ช่วยบำรุงผิวได้ทั้งนั้นเลยค่ะ
ล้างสา รพิ ษในร่างกาย
วิตามินซีในกะหล่ำปลีทำหน้าที่เป็นสา รต้า นอนุมู ลอิสระที่ดี ช่วยขับสา รพิ ษและกร ดยูริกออกจากร่างกาย ซึ่งสา รพิ ษเหล่านี้นี่ล่ะที่เป็นสาเ หตุของโร คไ ขข้ ออั กเ สบ โ รคผิ วห นัง โร ครูมาต อ ยด์ และโร ค เก าต์
ลดความดันโลหิต
โพแทสเซียมในกะหล่ำปลีมีส่วนช่วยให้การทำงานของระบบไหลเวียนเลื อดทำงานได้ดี ช่วยให้หลอ ดเลือ ดขยายได้มากขึ้น ซึ่งดีต่อการไหลเวียนเลือ ด
ลดอาการป วดหัว
อาการป วดหัวสามารถหายได้ด้วยการใช้กะหล่ำปลีมาประคบที่ศีรษะหรือดื่มน้ำกะหล่ำปลีสดวันละ 25 -50 มิลลิลิตร ใครที่มีอาการปว ดหัวเรื้ อรั งบ่อย ๆ ลองดูสิคะ รับรองได้ผล
ลดอาการ แ ฮ ง ก์จากการดื่มแ อ ล ก อ ฮ อ ล์
กะหล่ำปลีสามารถช่วยบรรเทาอาการแ ฮ งก์อย่างหนักได้ เนื่องจากกะหล่ำปลีมีน้ำเป็นส่วนประกอบมาก ทำให้เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วน้ำในกะหล่ำปลีจะไปเจือจาง ช่วยให้อาการดีขึ้น อย่ าคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่น เพราะวิธีนี้นิยมใช้กันมาตั้งแต่สมัยโรมันแล้วนะ
ป้ องกันการอักเส บและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือ ด
สา รกลุ่มเบตาเลน (Betalains) ที่อยู่ในกะหล่ำปลีม่วงนั้นมีคุณสมบัติในการลดระดับน้ำตาลในเลื อดและสร้างเสริมอินซูลินในร่างกาย แถมยังมีสรรพคุณในการช่วยต้า นการอั กเ สบได้ดีเช่นเดียวกับหัวบีทรูทอีกด้วย
ที่มา กระปุกดอทคอม