ชา ติหน้ามีจริงไหม ใครเ ชื่ อก็ โ ง่ แล้ว

ชา ติหน้ามีจริงไหม ใครเ ชื่ อก็ โ ง่ แล้ว

หลวงปูชา สุภัทโท พระเกจิชื่อดังที่หลายคนรู้จักและนับถือท่านเป็นอย่างมาก และหลวงปู่ชามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมากคำสอนของท่าน และวันนหนึ่งมีคนถามหลวงปู่ชา สุภทฺโท ว่า ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ ? กลับได้คำตอบที่ตรงกันข้าม แต่พอจะอ้าปากเถียงก็โดนสวนกลับด้วยธรรมอันลึกซึ้ง จนต้องรีบก้มกราบอย่างไม่ติดใจ

วันนี้จึงมีธรรมะดีจากคำสอนของหลวงปู่ชามาให้อ่ า นกัน ซึ่งอาจจะทำให้ใครหลายคน มี๑วงตาที่เห็นธรรมขึ้นมาอีกระดับนึงเลยก็ว่าได้

ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ ?

โยม : ชาติหน้ามีจริงไหมครับ ?

หลวงปู่ชา : ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ ?

โยม : เชื่อครับ

หลวงปู่ชา : ถ้าเชื่อคุณก็โง่

คำพูดดังกล่าวของหลวงปู่เล่นเอาคนถามงง ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ซึ่งหลวงปู่ชา ได้อธิบายไว้ว่า…

“หลายคนถามอาตมาเ รื่ อ งนี้ อาตมาก็ถามเขาอ ย่า ง นี้เหมือนกันว่า ถ้าบอกแล้วจะเชื่อไหม ถ้าเชื่อก็โง่ เพราะอะไร ? ก็เพราะมันไม่มีหลักฐานพย านอะไรที่จะหยิบมาให้ดูได้ ที่คุณเชื่อเพราะคุณเชื่อตามเขา คนเขาว่าอย่างไร คุณก็เชื่ออย่างนั้น คุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง คุณก็โง่อยู่ร่ำไป ทีนี้ถ้าอาตมาตอบว่า คนต า ยแล้วเกิດหรือว่าชาติหน้ามี อันนี้คุณต้องถามต่อไปอีกว่า ถ้ามีพาผมไปดูหน่อยได้ไหม เ รื่ อ งมันเป็นอ ย่า ง นี้ มันหาที่จบลงไม่ได้ เป็นเหตุให้ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด ทีนี้ ถ้าคุณถามว่าชาติหน้ามีไหม อาตมาก็ถามว่า พรุ่งนี้มีไหม ถ้ามีพาไปดูได้ไหม

อ ย่า ง นี้คุณก็พาไปดูไม่ได้ ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะมีอยู่ แต่ก็พาไปดูไม่ได้ อ ย่า ง นี้เป็นต้น ถ้าวันนี้มี พรุ่งนี้ก็ต้องมี แต่สิ่ งนี้มันเป็นของที่จะหยิบยกมาเป็นวัตถุตัวตนให้เห็นไม่ได้

ความจริงแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ให้เราตามไปดูถึงขนาดนั้น ไม่ต้องสงสัยว่า ชาติหน้ามีหรือไม่มี ไม่ต้องถามว่า คนต า ยแล้วจะเกิດหรือไม่เกิດ อันนั้นมันไม่ใช่ปัญหา มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราคือ เราจะต้องรู้เ รื่ อ งราวของตนเองในปัจจุบัน เราต้องรู้ว่า เรามีทุกข์ไหม ถ้าทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร นี้คือสิ่งที่เราต้องรู้ และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย”

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราถือเอาปัจจุบันเป็นเหตุของทุกอย่าง เพราะว่าปัจจุบันเป็นเหตุของอนาคต คือถ้าวันนี้ผ่านไป วันพรุ่งนี้มันก็กลายมาเป็นวันนี้ นี่เรียกว่าอนาคตคือพรุ่งนี้ มันจะมีได้ก็เพราะวันนี้เป็นเหตุ ทีนี้อดีตก็เป็นไปจากปัจจุบัน หมายความว่า ถ้าวันนี้ผ่านไป มันก็กลายเป็นเมื่อวานเสียแล้ว นี่คือเหตุที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราพิจารณาเหตุทั้งหลายในปัจจุบัน เท่านี้ก็พอแล้ว ถ้าปัจจุบันเราสร้างเหตุไว้ดี อนาคตมันก็จะดีด้วย อดีตคือวันนี้ที่ผ่านไป มันย่อมดีด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเราหมดทุกข์ได้ในปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตคือชาติหน้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง

ธรรมะดีมาก

ธรรมะเป็นสิ่งที่อยู่เหนือคำพูด

คำสอนธรรมะทั้งหลายนั้น

มันเป็นคำสมมุติกันขึ้นมาพูด

ตัวธรรมะแท้ นั้นอยู่เหนือคำพูด

ผู้มีปัญญารู้เห็นธรรมะ

ท่านไม่ต้องการอะไร ไม่เอาอะไรอีกแล้ว

เพราะถ้าจะเอาความสุข ความสุขมันก็ดับ

ถ้าจะเอาความทุกข์ ความทุกข์มันก็ดับ

จะเอาวัตถุสมบัติข้าวของอะไรต่าง

สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันก็จะดับเหมือนกัน

แม้นแต่ร่ า งกายที่คนหวงแหนกันนี้

เกิດขึ้นแล้ว ที่สุดแล้ว มันก็ดับ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น

6 × 1 =

Back To Top

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า