5 ข้อสังเกตที่จะช่วยทำให้คุณตรวจสอบเบื้องต้นว่าเมื่อใดที่ควรต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
สีน้ำมันเปลี่ยนไป
สิ่งที่ควรสังเกตนอกเหนือจากระดับน้ำมันที่ก้านวัด คือ สีของน้ำมัน การที่น้ำมันมีสีที่เปลี่ยนไป เช่น มีสีที่ดำขึ้น เข้มขึ้น หรือหนืดขึ้น ก็แสดงว่ารถยนต์มีการใช้งานหนัก น้ำมันที่มีหน้าที่ช่วยชะล้าง ทำความสะอาดสิ่งสกปรกก็จะสีเข้มขึ้นด้วย ก็เป็นสัญญ าณเตื อนว่าควรทำการเปลี่ยนได้แล้ว
รถเร่งเครื่องไม่ขึ้น วิ่งไม่ออก
อาจมาควบคู่กับอาการที่รถกินน้ำมันมากกว่าปกติ อาการเหล่านี้มักมีสาเห ตุจากการที่มีสิ่งสกปรกจากการเผ าไ หม้ต่างๆ จึงทำให้น้ำมันหล่อลื่นไม่สะอาด และไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนน้ำมัน
เสียงเครื่องยนต์ดังผิ ดปกติ
อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเห ตุ อาจเป็นอะไหล่ภายในเสื่อ มสภาพ และรวมไปถึงการที่น้ำมันเครื่องอาจเก่าเกินไป หรือไม่สะอาดก็ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานผิ ดปกติ และมีเสียง
จอดรถไว้นานเกินไป
หลายคนอาจมีความคิดว่า ในเมื่อจอดรถทิ้งไว้ ไม่ได้ใช้งาน ก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่การจอดรถทิ้งไว้เป็นเวลานานเกินไป สิ่งที่มักตามมา คือ การที่ไม่ได้ตรวจเช็กสภาพรถยนต์อยู่เสมอ ก็อาจทำให้เกิดฝุ่น หรือสิ่งสกปรกเกาะตัวเครื่องยนต์ และมีโอกาสที่น้ำมันหล่อลื่ นจะแห้ง จึงทำให้เครื่องยนต์เกิดความเสี ยหายได้
วิ่งครบตามระยะทาง หรือเปลี่ยนตามระยะเวลา
รถยนต์ที่มีการขับขี่อยู่ตลอดเวลาสามารถเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้ตาม “ระยะทาง” ซึ่งสามารถดูตัวเลขที่หน้าปัดรถเทียบกับป้ายที่เรามักแขวนไว้ข้างพวงมาลัยที่แสดงระยะว่าเมื่อไหร่ที่ควรเปลี่ยนน้ำมัน เมื่อถึงระยะทางที่กำหนดก็ควรทำการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง โดยทั่วไปมักมีการเปลี่ยนที่ทุกๆ 8,000-15,000 กิโลเมตร แต่ถ้าหากใช้งานบ่อยก็ควรทำการเช็ก และสามารถเปลี่ยนได้ตั้งแต่ 5,000 กิโลเมตร
สำหรับรถยนต์ที่ไม่ค่อยมีการใช้งาน ไม่ได้ขับบ่อย ไม่ได้เดินทางบ่อย ตัวเลขไมล์ไม่ค่อยวิ่งสามารถเปลี่ยนได้ทุกๆ 6 เดือน – 1 ปี และสามารถยึดการเปลี่ยนน้ำมันจาก “ระยะเวลา” ได้